น้ำหอมมนุษย์ "Perfume: The Story of a Murdere"
______แทบจะบอกไม่ถูกเลยว่าเป็นหนังฮอลลีวูดหรือหนังฝรั่งเศสกันแน่ดาราแสดงหลายเชื้อชาติเหลือเกิน หนังสือขายดีที่แปลให้มีอ่านมานานพอสมควรได้เวลาสร้างเป็นหนังฟอร์มใหญ่ที่ดูแล้วผมรู้สึกว่าใกล้เคียงโดยโครงเรื่องบทสรุปก็ตรงประเด็นไม่เกินไม่ขาดไปซักเท่าไรยอมรับได้ ส่วนภาพบรรยากาศของหนังยอมรับว่าทำได้ดีแม้ดูไม่ค่อยจะเป็นภาพที่โหด ก็หนังตั้งใจจะให้ไปแนวคลาสสิคมากกว่าแอคชั่นทริลเลอร์ Perfumeแปลกันตรง ๆ ได้ต้องอ้อมค้อม เป็นน้ำหอมของสุดยอดน้ำหอม กลิ่นกายมนุษย์นั่นแหล่ะน้ำหอมชั้นดี เคยได้ยินคำว่า “สาปสาว” มานาน
______นิยามนี้มีความหมายถึงกลิ่นไอที่ชวนให้หลงเป็นเสน่ห์ดึงดูดให้จิตใจล่องลอยอยากคลอเคลีย ไม่น่าเชื่อว่าพวกฝรั่งเศสก็มีแนวคิดแบบนี้เหมือนกันมันคงเป็นภาษาสากลมาตั้งแต่โบราณกาล หนังกล่าวถึง ฌ็อง-แบ็ปติสต์ เกรนูอีลเล่ (เบน วิสชอว์) เด็กน้อยที่เกิดมาพร้อมกับหายนะที่จะเกิดขึ้นกับผู้มีพระคุณทุกคน อย่างเกิดมาแม่ก็โดนประหาร โตมาก็ถูกขายคนเลี้ยงจมน้ำตาย พ่อค้าน้ำหอมชาวอิตาลีบัลดินี่ (ดัสติน ฮอฟฟ์แมน) ก็ต้องประสบเหตุบ้านยุบพังหลัง ฌ็อง-แบ็ปติสต์ ตีจากไปค้นหาสุดยอดน้ำหอม ถึงขนาดต้องเป็นฆาตกรฆ่าสาว ๆ ที่มีกลิ่นกายแบบเนื้อหอม มีเพียงจมูกของเขาที่แยกแยะกลิ่นอันวิเศษสุดนี้ได้เท่านั้น กรรมวิธีการสกัดกลิ่นก็ต้องพอกเนื้อด้วยขี้ผึ้งแล้วสกัดเอากลิ่นมาผสม เหล่านี้ล้วนเป็นพรสวรรค์ที่ทำให้เกิดฆาตกรต่อเนื่องล่าสังหารผู้หญิงไปมากมายจนทางการจับตัวเขาไปประหารชีวิต แต่นั้นคือหลังจากที่เขาสกัดน้ำหอมสุดวิเศษสำเร็จแล้ว เขามีพลังอำนาจแห่งน้ำหอมมากมายที่จะให้ใครก็ตามที่ดมกลิ่นนั้นจิดใจเคลิ้มฝันตกในหลุมแห่งความลุ่มหลงจนอยู่ใต้คำสั่งของเขา นี่เหลือเชื่อมากว่าอาวุธที่ร้ายกาจที่สุดที่ฝรั่งเศสเมืองน้ำหอมองโลกจะคิดออกมาได้ ว่าโลกทั้งโลกอาจจะเป็นของ ฌ็อง-แบ็ปติสต์ เกรนูอีลเล่ ไปแล้วแค่ให้ทุกคนในโลกนี้ดมกลิ่นก็จะต้องมนต์สะกดยอมมอบทุกสิ่งให้หมดจนกระทั่งเขาหลบหนีโทษทัณฑ์มาได้อย่างง่ายดาย และแล้ว ฌ็อง-แบ็ปติสต์ เกรนูอีลเล่ ที่เหมือนกับตัวแทนผู้นำแห่งฝรั่งเศสก็เจียมเนื้อเจียมตัวอย่างยะโสโอหัง ไม่ใช้สิ่งที่ตนเองมีให้เป็นประโยชน์ กลับอาบน้ำหอมที่ตนเองลำบากอุตส่าห์ทำมาจนเนื้อตัวมีกลิ่นหอมชวนปรารถนาให้ถึงกับแย่งฉีกทึ้งจนไม่เหลือแม้แต่หยดเลือดหรือเศษกระดูกในตอนจบ ผมพอใจกับบทสรุปนี้มาก หนังดำเนินเรื่องมาแบบเรื่องเล่าตามสไตล์ที่ควรจะเป็น มีส่วนที่ชวนติดตาม แต่ก็ขาดซึ่งรสชาติของความน่าสะพรึ่งในอำนาจมหาศาลของน้ำหอมขวดนี้ให้เห็นชัดเจนยิ่งกว่านี้ หนังเพียงแต่เอาภาพคนเป็นร้อยร่วมรักกันอย่างบ้าคลั่งสนองอิทธิฤทธิ์แห่งน้ำหอม และก็ไม่ค่อยจะเห็นความหยามช้าของความฆาตกรที่ร้ายการอย่าง ฌ็อง-แบ็ปติสต์ เกรนูอีลเล่ มันเหมือนกับขณะที่เรากำลังดูหนังเราเองก็ต้องมนต์สะกดของน้ำหอมเอาใจช่วยให้ฌ็อง-แบ็ปติสต์ เกรนูอีลเล่ ทำสำเร็จซะที นี่ขนาดหนังไม่มีกลิ่นนะ ผมยังหลงมันได้ขนาดนี้ แล้วตอนที่คุณดูจะหลงกลไปด้วยเหมือนผมรึเปล่า ?
______นิยามนี้มีความหมายถึงกลิ่นไอที่ชวนให้หลงเป็นเสน่ห์ดึงดูดให้จิตใจล่องลอยอยากคลอเคลีย ไม่น่าเชื่อว่าพวกฝรั่งเศสก็มีแนวคิดแบบนี้เหมือนกันมันคงเป็นภาษาสากลมาตั้งแต่โบราณกาล หนังกล่าวถึง ฌ็อง-แบ็ปติสต์ เกรนูอีลเล่ (เบน วิสชอว์) เด็กน้อยที่เกิดมาพร้อมกับหายนะที่จะเกิดขึ้นกับผู้มีพระคุณทุกคน อย่างเกิดมาแม่ก็โดนประหาร โตมาก็ถูกขายคนเลี้ยงจมน้ำตาย พ่อค้าน้ำหอมชาวอิตาลีบัลดินี่ (ดัสติน ฮอฟฟ์แมน) ก็ต้องประสบเหตุบ้านยุบพังหลัง ฌ็อง-แบ็ปติสต์ ตีจากไปค้นหาสุดยอดน้ำหอม ถึงขนาดต้องเป็นฆาตกรฆ่าสาว ๆ ที่มีกลิ่นกายแบบเนื้อหอม มีเพียงจมูกของเขาที่แยกแยะกลิ่นอันวิเศษสุดนี้ได้เท่านั้น กรรมวิธีการสกัดกลิ่นก็ต้องพอกเนื้อด้วยขี้ผึ้งแล้วสกัดเอากลิ่นมาผสม เหล่านี้ล้วนเป็นพรสวรรค์ที่ทำให้เกิดฆาตกรต่อเนื่องล่าสังหารผู้หญิงไปมากมายจนทางการจับตัวเขาไปประหารชีวิต แต่นั้นคือหลังจากที่เขาสกัดน้ำหอมสุดวิเศษสำเร็จแล้ว เขามีพลังอำนาจแห่งน้ำหอมมากมายที่จะให้ใครก็ตามที่ดมกลิ่นนั้นจิดใจเคลิ้มฝันตกในหลุมแห่งความลุ่มหลงจนอยู่ใต้คำสั่งของเขา นี่เหลือเชื่อมากว่าอาวุธที่ร้ายกาจที่สุดที่ฝรั่งเศสเมืองน้ำหอมองโลกจะคิดออกมาได้ ว่าโลกทั้งโลกอาจจะเป็นของ ฌ็อง-แบ็ปติสต์ เกรนูอีลเล่ ไปแล้วแค่ให้ทุกคนในโลกนี้ดมกลิ่นก็จะต้องมนต์สะกดยอมมอบทุกสิ่งให้หมดจนกระทั่งเขาหลบหนีโทษทัณฑ์มาได้อย่างง่ายดาย และแล้ว ฌ็อง-แบ็ปติสต์ เกรนูอีลเล่ ที่เหมือนกับตัวแทนผู้นำแห่งฝรั่งเศสก็เจียมเนื้อเจียมตัวอย่างยะโสโอหัง ไม่ใช้สิ่งที่ตนเองมีให้เป็นประโยชน์ กลับอาบน้ำหอมที่ตนเองลำบากอุตส่าห์ทำมาจนเนื้อตัวมีกลิ่นหอมชวนปรารถนาให้ถึงกับแย่งฉีกทึ้งจนไม่เหลือแม้แต่หยดเลือดหรือเศษกระดูกในตอนจบ ผมพอใจกับบทสรุปนี้มาก หนังดำเนินเรื่องมาแบบเรื่องเล่าตามสไตล์ที่ควรจะเป็น มีส่วนที่ชวนติดตาม แต่ก็ขาดซึ่งรสชาติของความน่าสะพรึ่งในอำนาจมหาศาลของน้ำหอมขวดนี้ให้เห็นชัดเจนยิ่งกว่านี้ หนังเพียงแต่เอาภาพคนเป็นร้อยร่วมรักกันอย่างบ้าคลั่งสนองอิทธิฤทธิ์แห่งน้ำหอม และก็ไม่ค่อยจะเห็นความหยามช้าของความฆาตกรที่ร้ายการอย่าง ฌ็อง-แบ็ปติสต์ เกรนูอีลเล่ มันเหมือนกับขณะที่เรากำลังดูหนังเราเองก็ต้องมนต์สะกดของน้ำหอมเอาใจช่วยให้ฌ็อง-แบ็ปติสต์ เกรนูอีลเล่ ทำสำเร็จซะที นี่ขนาดหนังไม่มีกลิ่นนะ ผมยังหลงมันได้ขนาดนี้ แล้วตอนที่คุณดูจะหลงกลไปด้วยเหมือนผมรึเปล่า ?
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น